วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ดอกซากุระ

ซากุระดอกไม้ของญี่ปุ่น





ซากุระ

"ซากุระ" มาจากคำเก่าแก่สองคำ คือ "ซา" หมายถึง วิญญาณแห่งพืชพันธุ์  และ  "กุระ" หมายถึง
ที่ประทับของเทพเจ้า ดังนั้นคำว่า "ซากุระ" จึงหมายถึง ที่สถิตของจิตวิญญาณแห่งพืชพันธุ์ทั้งปวง

ในแง่ของตำนาน ซากุระเกิดขึ้นมาเพราะเทวนารีองค์หนึ่ง คือ โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เชื่อกันว่า พระนางเป็นผู้ริเริ่มปลูกซากุระขึ้นเป็นครั้งแรก จึงได้ชื่อตามพระนามของนาง 

ซากุระ

โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เป็นธิดาของโอโฮยามัทซูมิ เทพแห่งภูเขา วันหนึ่งพระนางได้พบเทพนินิงิที่ชายทะเล และตกหลุมรักซึ่งกันและกัน เทพนินิงิทูลขอเทพโอโฮยามัทซูมิเพื่อขอนางมาเป็นชายา ในตอนแรก เทพโอโฮยามัทซูมิได้เสนอธิดาอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเทพีแห่งก้อนหินมาเป็นคู่สยุมพรแทน แต่เทพนินิงิไม่ยอม  พระองค์ยังยืนกรานในรักมั่นที่มีต่อเทวี แห่งซากุระ ในที่สุดจึงได้วิวาห์ดังที่ปรารถนา หลังอภิเษกได้เพียงวันเดียวเทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะก็ทรงครรภ์ เทพโอโฮยามัทซูมิทรงคลางแคลงพระทัยว่าบุตรในท้องไปลูกของพระองค์จริงหรือไม่

การที่เทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ ได้กำเนิดโอรสในกองเพลิงนี่เอง ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่า พระนางควบคุมไฟได้ เลยก็เลยมีการสร้างศาลบูชาพระนางขึ้นที่ตีนภูเขาไฟฟูจิในปี ค.ศ.806 ด้วยความหวังว่า พระนางจะช่วยไม่ให้ภูเขาไฟพิโรธ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน พระนางจึงกลายเป็นเทพีแห่งภูเขาไฟฟูจิด้วย จนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่ไปเยือนภูเขาไฟฟูจิมักจะแวะไปศักการะศาลของพระนางและเชื่อกันอีกอย่างว่า เมล็ดพันธุ์ของต้นซากุระที่พระนางนำมาปลูกเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นนั้น ก็มาจากภูเขาไฟฟูจิซึ่งพระองค์ดูแลอยู่นี่เอง

นอกจากนั้น พระนางยังเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความปลอดภัยในบ้านและเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดี ให้ผู้คนได้ตามที่หัวใจปรารถนาด้วย

ซากุระ




ที่มา:  http://www.zazana.com/History-/id6419.aspx



สตีฟ จ๊อบ

ผู้สร้างapple

สตีเวน พอล จอบส์ (อังกฤษSteven Paul Jobs) หรือ สตีฟ จอบส์, 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 - 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011) เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน อดีตประธานกรรมการบริหารของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ และยังเคยเป็นประธานกรรมการบริหารพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ใน ค.ศ. 2006 หลังดิสนีย์ซื้อกิจการพิกซาร์
เขาร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์กับสตีฟ วอซเนียก ใน ค.ศ. 1976 เป็นผู้มีส่วนช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา ด้วยเครื่องApple II ต่อมา เขาเป็นผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์และเม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอช[5][6] หลังพ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจกับคณะกรรมการบริหารใน ค.ศ. 1984 [7] จอบส์ลาออกจากแอปเปิลและก่อตั้งเน็กซ์ บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและตลาดธุรกิจ การซื้อกิจการเน็กซ์ของแอปเปิลใน ค.ศ. 1996 ทำให้จอบส์กลับเข้าทำงานในบริษัทแอปเปิลที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นนั้น และเขารับหน้าที่ CEO ตั้งแต่ ค.ศ. 1997 ถึง 2011 จอบส์ยังเป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ทั้งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ 50.1% กระทั่งบริษัทวอลต์ดิสนีย์ซื้อกิจการไปใน ค.ศ. 2006[8] จอบส์เป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุดของดิสนีย์ที่ 7% และเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของดิสนีย์[9][10][11]
หลังจาก สตีฟ จอบส์ ประกาศแก่พนักงานแอปเปิลว่าตรวจพบมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2004 จอบส์ ก็มีปัญหาทางสุขภาพเรื่อยมา จนตัดสินใจลาออกจากการเป็นประธานกรรมการบริหารของแอปเปิล เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2011 และ เสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011 หลังจากที่แอปเปิล ประกาศเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว
ช่วงแรกของชีวิต
สตีฟ จอบส์ เกิดที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย[1] มีชื่อจริงว่า สตีเวน พอล จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของนายพอล และนางคลารา จอบส์ (สกุลเดิม ฮาโกเพียน[12]) ต่อมาพ่อแม่บุญธรรมก็รับผู้หญิงมาเป็นบุตรบุญธรรมอีกคน ชื่อ แพตตี้ ส่วนบิดามารดาที่แท้จริงของจอบส์ เขามีบิดาชื่อ นายอับดุลฟัตตะห์ จันดาลี ชาวซีเรียมุสลิม[13] นักศึกษา (ในขณะนั้น) แต่ต่อมาได้ทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสาขารัฐศาสตร์[14] กับนางโจแอน ซิมป์สัน นักศึกษาชาวอเมริกัน[13] ต่อมาได้ทำงานเป็นวิทยากรในการบำบัด[15] ต่อมาภายหลังบิดามารดาได้สมรสกันและให้กำเนิดน้องสาวร่วมสายเลือดของจอบส์ คือ โมนา ซิมป์สัน นักแต่งนวนิยาย[16][17][18][19][20]
ในปีค.ศ. 1972 จอบส์จบการศึกษาจากโฮมสตีดไฮสคูล ในเมืองคิวเปอร์ทีโน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้สมัครเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยรีด (Reed College) ในเมืองพอร์ตแลนด์ มลรัฐโอเรกอน แต่ก็ต้องลาพักการเรียนหลังจากเข้าเรียนได้เพียงหนึ่งภาคการศึกษา หลายปีต่อมา ในปาฐกถาครั้งหนึ่งในพิธีสำเร็จการศึกษาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปีค.ศ. 2005 จอบส์ได้กล่าวว่าเพราะเขาลาพักเรียนไป จึงมีเวลาเข้าชั้นเรียนคัดตัวหนังสือ "ถ้าผมไม่ได้เรียนวิชานั้นที่วิทยาลัยรีด เครื่องแมคอินทอชคงจะไม่มีรูปแบบอักษรหลากหลาย และปราศจากฟอนต์ที่มีการแบ่งระยะห่างอย่างถูกสัดส่วนเช่นนี้" จอบส์กล่าว
ก่อตั้งแอปเปิล

ภาพที่สตีฟ จอบส์ใช้ในการประชาสัมพันธ์แอปเปิล คอมพิวเตอร์
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 1974 จอบส์ได้กลับมายังมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้เริ่มเข้าประชุมชมรม"เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน" กับ สตีฟ วอซเนียก จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคที่ อาตาริ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และวิดิโอเกมส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตลอดช่วงเวลานี้ มีการค้นพบว่านกหวีดของเล่นที่แถมมาในกล่องอาหารเช้าทำจากธัญพืชยี่ห้อแคปแอนด์ครันช์ ทุกกล่อง เมื่อนำมาดัดแปลงเล็กน้อยแล้วจะสามารถทำเกิดเสียงความถี่ 2,600เฮิร์ทซ์ ที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ทางไกลของเอทีแอนด์ทีได้ โดยไม่รอช้า ในปีค.ศ. 1974จอบส์กับวอซเนียกได้เริ่มธุรกิจผลิตกล่อง"บลูบ็อกซ์" จากแนวความคิดดังกล่าวอันทำเราสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ในปีค.ศ. 1976 สตีฟ จอบส์ในวัย 21 ปี กับสตีฟ วอซเนียก วัย 26 ปี ได้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่องApple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำตัวเลขมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องตอบโทรศัพท์เล่าเรื่องตลกขบขันของวอซเนียก ที่มีเบอร์โทรลงท้ายด้วย -6666
ในปีค.ศ. 1977 จอบส์กับวอซเนียก ได้นำเครื่องApple IIออกสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดคอมพิวเตอร์ใช้งานในบ้าน และทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้ผลิตรายสำคัญในวงการอุตสาหกรรมเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในเดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1980 แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้กลายมาเป็นบริษัทมหาชน และการเปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนผู้สนใจร่วมลงทุน ทำให้สถานภาพส่วนตัวของจอบส์สูงส่งขึ้นเป็นอันมาก ในปีเดียวกันนี้เอง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้นำเครื่องApple IIIออกวางตลาด แต่กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม
ในขณะที่ธุรกิจของแอปเปิลกำลังเติบโตต่อไป บริษัทได้เริ่มมองหาผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยในการขยายกิจการ ในปีค.ศ. 1983 จอบส์ได้ว่าจ้าง จอห์น สกัลลีย์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเป็บซี่-โคล่า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล โดยที่จอบส์ได้กล่าวท้าทายเขาว่า "คุณต้องการจะใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการขายน้ำหวาน หรือว่าต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันแน่?" ในปีเดียวกัน แอปเปิลยังได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาดแต่อย่างใด
ในปีค.ศ. 1984 เราได้เห็นการเปิดตัวเครื่องแมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ที่ประสบความสำเร็จทางการค้า การพัฒนาเครื่องแมคริเริ่มขึ้นโดย เจฟ ราสคินและทีมงานที่ได้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยซีรอกซ์พาร์ก แต่ยังไม่มีการนำมาพัฒนาเพื่อการค้า ความสำเร็จของเครื่องแมคอินทอช ทำให้แอปเปิลเลิกพัฒนาเครื่องApple II เพื่อส่งเสริมสายการผลิตเครื่องรุ่นแมค ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้
ออกจากแอปเปิล ก่อตั้งกิจการบริษัทเน็กซ์
โลโก้บริษัทเนกซ์
ในขณะที่จอบส์ได้กลายเป็นนักบุญผู้มีบุคลิกโดดเด่นและมีส่วนผลักดันโครงการต่างๆของแอปเปิล เหล่านักวิจารณ์มักจะอ้างว่าเขาเป็นผู้จัดการที่มีบุคลิกแปลกประหลาดและโมโหร้าย ในปีค.ศ. 1985 ภายหลังจากประสบปัญหาขัดแย้งเรื่องอำนาจภายในบริษัท จอบส์ถูกคณะกรรมการบริหารของแอปเปิลถอดออกจากภารกิจต่างๆที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ และได้ลาออกในที่สุด
หลังจากออกจากแอปเปิล จอบส์ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า เน็กซ์ (NeXT) เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา เน็กซ์มีเทคโนโลยีล้ำยุค แต่มันไม่เคยเข้าสู่กระแสความนิยมหลักได้เนื่องจากราคาที่สูงลิ่ว สำหรับผู้ที่มีเงินพอจะซื้อหามาเป็นเจ้าของได้นั้น เทคโนโลยีของเน็กซ์ทำให้มีกลุ่มผู้ติดตามจำนวนมากเนื่องจากความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีของมัน หนึ่งในผลิตภัณฑ์นั้นได้แก่ระบบพัฒนาซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ จอบส์ได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ของเน็กซ์โดยเน้นไปที่สาขาวิทยาศาสตร์และสถาบันการศึกษา เนื่องจากมันได้ผนวกเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ในเชิงนวัตกรรม และทดลองค้นคว้ารวมอยู่ด้วย (เป็นต้นว่า เคอร์เนลมัค (Mach kernel) และแผงวงจรดีเอสพี)
เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเน็กซ์คิวบ์(NeXT Cube) ถือกำเนิดขึ้นจากแนวความคิดทางปรัชญาของจอบส์ในเรื่องของ "คอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล" ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นก้าวสำคัญหลังจากมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเกิดขึ้น นั่นคือ หากคอมพิวเตอร์สามารถให้มนุษย์สื่อสารและประสานงานกันอย่างง่ายดายแล้ว มันจะสามารถแก้ปัญหามากมายที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเคยประสบมา จอบส์เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่เขาไม่ได้รวมเอาคุณลักษณะทางเครือข่ายเข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอชรุ่นดั้งเดิม (และเรียกมันว่า "สายรกที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับบริษัท") และเขาตั้งใจว่าจะไม่ทำพลาดเช่นนั้นอีก ในช่วงเวลาที่อีเมลสำหรับคนส่วนมากยังคงเป็นระบบตัวหนังสือล้วน จอบส์รักที่จะทำการแสดงการสาธิต "เน็กซ์เมล" ระบบอีเมลของบริษัทเน็กซ์เพื่อให้เห็นถึงปรัชญาของเครื่องคอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล เน็กซ์เมลเป็นอีเมลระบบแรกๆที่สนับสนุนการมองเห็นกราฟิกส์และเสียงที่ฝังอยู่ในอีเมลได้จากทุกแห่ง และยังสามารถคลิกได้อีกด้วย
จอบส์บริหารงานที่บริษัทเน็กซ์โดยเล็งผลเลิศแม้ว่าจะใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไรก็ตาม สายตาที่สอดส่องการทำงานทุกกระเบียดนิ้วคู่นี้ได้เป็นตัวบ่อนทำลายแผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ในที่สุด แต่ในทางกลับกัน มันยังเป็นการแสดงให้โลกได้รู้ว่าจอบส์สามารถออกแบบเครื่องแมคอินทอช ที่ดีกว่ารุ่นดั้งเดิมในแบบที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ กล่องเครื่อง เน็กซ์คิวบ์ที่ทำจากแมกนีเซียมตัดด้วยเลเซอร์ได้ชื่อว่าเป็นความสวยงามที่ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไรก็จะต้องได้มา
เช่นเดียวกับที่จอบส์แข่งขันกับไอบีเอ็มในช่วงที่งานอยู่ที่แอปเปิล จอบส์ต่อสู้กับซัน ไมโครซิสเต็มส์ราวกับว่าซันเป็นจักรวรรดิปิศาจในช่วงเขาทำงานอยู่ที่เน็กซ์ ต่อมา หลังจากที่แผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ถูกปลด จอบส์กับสก็อต แมคนีลลีแห่งซัน ไมโครซิสเต็มส์ได้เปิดตัว OPENSTEP ด้วยกัน
ในช่วงที่จอบส์ทำงานอยู่ที่เน็กซ์นั้นมักจะไม่มีผู้กล่าวถึงในตำราประวัติศาสตร์ แต่จอบส์ได้อุทิศประโยชน์ไว้ในเหตุการณ์สำคัญยิ่งสองเหตุการณ์ด้วยกัน
  1. กำเนิดเวิลด์ไวด์เว็บ ชื่อเบราว์เซอร์ตัวแรกของโลกกับ ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี ได้พัฒนาระบบต้นแบบของเวิลด์ไวด์เว็บของสถาบันวิจัยแซร์นในสถานีวิจัยย่อยของแซร์นโดยใช้เครื่องเน็กซ์ จุดยืนของจอบส์ที่ว่าคนธรรมดาน่าจะสามารถเขียนแอปพลิเคชันใดๆที่ "จำเป็นยิ่งยวดต่อภารกิจ" ได้กลายเป็นหลักเบื้องต้นในการสร้าง Interface Builder อันเป็นโปรแกรมที่ทิม เบอร์เนอร์ส-ลีใช้เขียนโปรแกรมที่มีชื่อว่า "World-Wide Web 1.0"
  2. การกลับมาของแอปเปิล คอมพิวเตอร์: การที่แอปเปิลอิงกับซอฟต์แวร์ดั้งเดิม และการบริหารงานภายในที่ผิดพลาด ทำให้บริษัทเองเกือบจะล้มละลาย ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 จุดยืนของจอบส์ที่ยืนหยัดจะพัฒนาคอมพิวเตอร์จากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์อย่างต่อเนื่อง ได้ถูกมองว่าทะเยอทะยานเกินไปและเป็นแนวคิดที่ล้าหลังในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 แต่ทางเลือกของจอบส์ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบปฏิบัติการที่เสถียรและสามารถขยายตัวได้ แอปเปิลจะต้องการซอฟต์แวร์ตัวนี้ในเวลาต่อมาภายใต้การนำของจอบส์ และได้เรียนรู้ประสบการณ์ของการเกิดใหม่ เทคโนโลยีของเน็กซ์ยังได้ช่วยในการพัฒนาก้าวหน้าของเทคโนโลยีอื่นๆ เป็นต้นว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ การแสดงผลโพสต์สคริปต์ และอุปกรณ์ออพติก-แม่เหล็ก

สตีฟ จอบส์ ในงาน MacWorld2005

สตีฟ จอบส์ กำลังโชว์เครื่อง MacBook Air ในงาน Macworld Conference & Expo 2008
กลับมาสู่แอปเปิล
ในปีค.ศ. 1996 แอปเปิลได้ซื้อกิจการบริษัทเน็กซ์ คอมพิวเตอร์ด้วยราคา 402ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำจอบส์กลับมาสู่บริษัทที่เขาก่อตั้งเอาไว้ ในปีค.ศ. 1997 เขาได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูง"ชั่วคราว"ของแอปเปิล หลังจากที่ผู้จัดการหลายคนเสียความเชื่อมั่นในตัว จิล อะเมลิโอ ผู้บริหารระดับสูงในขณะนั้นที่ถูกถอดออก ในช่วงที่กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำของแอปเปิล จอบส์เรียกชื่อตำแหน่งของเขาว่า "ไอซีอีโอ" (iCEO)
ด้วยการซื้อกิจการของเน็กซ์ เทคโนโลยีหลายตัวของบริษัทได้แจ้งเกิดในผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mac OS X ที่พัฒนามาจาก NeXTSTEP ภายใต้การนำของจอบส์ บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมากด้วยการเปิดตัว ไอแมค (iMac) นับแต่นั้นเป็นต้นมา การออกแบบที่ดึงดูดใจ และยี่ห้อสินค้าที่มีพลังเป็นผลดีต่อแอปเปิลอย่างยิ่ง
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ บริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ได้ขยายกิจการไปหลายสาขา ด้วยการเปิดตัวไอพ็อด เครื่องเล่นดนตรีขนาดพกพา ไอทูนส์ ซอฟต์แวร์สำหรับดนตรีดิจิทัล รวมไปถึงร้านดนตรีไอทูนส์ แสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการยึดหัวหาดด้านอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ส่วนบุคคล และร้านขายดนตรีออนไลน์ ด้วยแรงผลักดันทางนวัตกรรม จอบส์มักจะเตือนพนักงานของเขาว่า "ศิลปินที่แท้จริงต้องส่งงาน" ซึ่งหมายความว่าการจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงเวลานั้น มีความสำคัญพอๆกับนวัตกรรมและการออกแบบที่โดนใจผู้ใช้
จอบส์ทำงานที่บริษัทแอปเปิลเป็นเวลาหลายปีติดกันด้วยค่าจ้างรายปีเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ และนั่นทำให้เขาได้ถูกบันทึกไว้ในสถิติโลกกินเนสส์ว่า เป็นผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับค่าจ้างต่ำที่สุดในโลก ในการเป็นองค์นำปาฐกถาที่งานแมคเวิลด์เอกซ์โป (Macworld Expo) ในนครซานฟรานซิสโก บริษัทได้ตัดคำว่า "ชั่วคราว" ออกจากตำแหน่งของเขา แต่เงินค่าจ้างของเขาที่แอปเปิลก็ยังคงเป็น 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าเขาจะได้รับของขวัญพิเศษจำนวนมากที่สร้างรายได้แก่เขาจากคณะกรรมการบริหารตามธรรมเนียม รวมถึงเครื่องบินเจ็ต Gulfstream V มูลค่า 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีค.ศ. 1999 และหุ้นมูลค่าเกือบๆ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากหุ้นปุริมสิทธิ์ในปีค.ศ. 2000 - ค.ศ. 2002 ดังนั้น จอบส์จึงได้รับค่าตอบแทนอย่างงามสำหรับความพยายามของเขาที่แอปเปิล แม้จะได้ชื่อว่ามีค่าจ้างเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐก็ตาม
จอบส์ได้รับทั้งคำชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับทักษะด้านการขายและดึงดูดใจผู้บริโภคของเขา ซึ่งถูกแทนที่ด้วยคำว่า "พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน" ซึ่งเห็นได้ชัดอย่างยิ่งระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยในงานแมคเวิลด์เอกซ์โป เกราะกำบังด้วย "พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน" เป็นคำเปรียบเปรย ที่ใช้กับแอปเปิลด้วยในช่วงที่ราคาสินค้าไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ในขณะที่เครื่อง G4 cube มีราคาแพงเกินไป บริษัทก็ยังตัดสินใจสวนกระแสความต้องการของตลาด ด้วยการกำจัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ลอกแบบจากเครื่องแมคอินทอช การตัดสินใจของจอบส์ไม่ได้รับฉันทมติจากคนส่วนใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ความพยายามทางการตลาดของแอปเปิลในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ที่เป็นเลิศในแง่เทคนิค แต่กลับเป็นแนวคิดแปลกแยกในหมู่นักลงทุนที่เล่นหุ้นของบริษัท ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หันไปซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม ส่งผลให้ราคาหุ้นของแอปเปิลตกลงฮวบฮาบ ไมโครซอฟท์ก็ซ้ำเติมการเสียตำแหน่งผู้นำของแอปเปิลด้วยการพัฒนาส่วนประสานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ของตัวเองขึ้นมา ใช้ชื่อว่า ไมโครซอฟท์วินโดวส์ ซึ่งก็บดบังความร้อนแรงของหุ้นแอปเปิลและครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้ในที่สุด
ร่วมก่อตั้งพิ
ในปีค.ศ. 1986 จอบส์ได้ร่วมกับเอ็ดวิน แคทมัลล์ก่อตั้งพิกซาร์ ซึ่งเป็นสตูดิโอสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมืองเอเมอรีวิลล์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นจากแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ของบริษัทลูคัสฟิล์มเดิม ซึ่งจอบส์ได้ซื้อกิจการต่อมาจากจอร์จ ลูคัส ผู้ก่อตั้ง ด้วยราคา 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหนึ่งในสามของราคาที่ตั้งไว้
พิกซาร์ได้กลายเป็นบริษัทที่โด่งดังและประสบความสำเร็จในอีกหนึ่งทศวรรษให้หลัง ด้วยภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวแหวกแนว เรื่อง"ทอย สตอรี่" และจากนั้นก็ได้ผลิตภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลประกวดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น "ตัวบั๊กส์ หัวใจไม่บั๊กส์" ในปีค.ศ. 1998 "ทอย สตอรี่ 2" ในปีค.ศ. 1999 "มอนสเตอร์ส อิงค์ บริษัทรับจ้างหลอน(ไม่)จำกัด"ในปีค.ศ. 2001 "นีโม่...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต" ในปีค.ศ. 2003 และ "รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก" ในปีค.ศ. 2004 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของพิกซาร์คือเรื่อง "Cars2" มีกำหนดออกฉายในต้นเดือนกันยายน ปีค.ศ. 2011
นีโม่...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต และ รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก ต่างได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม
เมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 2006 บริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ได้เข้าซื้อกิจการของพิกซาร์ด้วยวิธีแลกหุ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่า 7.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ในปีเดียวกัน
ชีวิตส่วนตัว
จอบส์เข้าพิธีสมรสกับลอเรนซ์ พาวเวลล์ เมื่อวัน18 มีนาคม ค.ศ. 1991 และมีบุตรด้วยกันสามคน จอบส์ยังมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อลิซา จอบส์ ที่เกิดจากสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้แต่งงานด้วย
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จอบส์ได้คบหาดูใจอยู่กับโจอาน แบเอซ ผู้ซึ่งถูกเจฟฟรีย์ ยัง ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของจอบส์ "iCon Steve Jobs" ได้กล่าวถึงว่า จอบส์รู้สึกฉงนเนื่องจากพบว่าโจอานเคยเกี่ยวพันกับ บอบ ดีแลนขวัญใจของเขา (ผู้ซึ่งเคยพัวพันกับแบเอซ) และเกี่ยวพันกับ วัฒนธรรมจัณฑาล (Beat Generation) เจฟฟรีย์ ยัง บอกเป็นนัยๆว่า บิล แอตคินสัน เคยได้ยินจอบส์พูด (แล้วเอาไปพูดต่อ) ว่าเขาคงจะแต่งงานกับแบเอซไปแล้ว หากเขาไม่มีความคิดว่าหล่อนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 41 ปี มากเกินไปที่จะมีบุตร
จอบส์เป็นมังสวิรัติปลา (ไม่ใช่มังสวิรัติ หรือ มังสวิรัติเคร่งครัด ตามที่มีมักจะอ้างกัน) — แม้ว่าเขาจะไม่กินเนื้อสัตว์ มีรายงานว่าเขากินปลาในบางครั้ง
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 จอบส์ได้เข้ารับการผ่าตัดเอาเนื้องอกมะเร็งออกจากตับอ่อน เขาเป็นโรคมะเร็งในตับอ่อนซึ่งในแบบที่พบได้น้อยมาก ที่เรียกว่า "เนื้องอกในเซลล์ที่ผลิตอินซูลินอันส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย " (islet cell neuroendocrine tumor) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ไม่ต้องการเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัดแต่อย่างใด ระหว่างที่เขาป่วย ทิม คุก ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขายและปฏิบัติการทั่วโลกของแอปเปิล เป็นผู้บริหารงานแทน
ในปีค.ศ. 2005 สตีฟ จอบส์ได้สั่งห้ามมิให้จำหน่ายหนังสือทุกเล่มที่มาจากสำนักพิมพ์วิลลีย์ในร้านหนังสือขายปลีกของแอปเปิล เพื่อตอบโต้ที่สำนักพิมพ์นี้ได้ตีพิมพ์ชีวประวัติฉบับที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ที่มีชื่อว่า"iCon Steve Jobs: The Greatest Second Act in the History of Business" เขียนโดยเจฟฟรีย์ ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน หลายคนเชื่อว่าการสั่งห้ามหนังสือดังกล่าวมาจากชื่อที่มีนัยยะในแง่ลบ มากกว่าจะมาจากเนื้อหาซึ่งออกจะกล่าวถึงในแง่บวกเสียมากกว่า
การเสียชีวิต

ผู้คนร่วมไว้อาลัย ณ Apple Store แห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก
ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011 หลังจากที่แอปเปิล ประกาศเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว แอปเปิลคอมพิวเตอร์ประกาศว่า สตีฟ จ็อบส์ เสียชีวิตอย่างสงบแล้วจากโรคมะเร็งตับอ่อนรุมเร้ามาตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2004 ด้วยวัยเพียง 56 ปี โดยในว้นที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2011 แอปเปิลได้จัดงานรำลึกถึงสตีฟ จอบส์ขึ้นมา โดยมีทิม คุก ถึงชีวิตของจอบส์ในแง่ต่างๆ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จที่ผ่านๆ มาของจอบส์ ณ Apple Campus เมืองคูเปอร์ทิโน มลรัฐแคลิฟอร์เนี








ที่มา:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%9F_%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B9%8C


วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โทรศัพท์มือถือยอดนิยมNOKIA





>_<Nokiaโทรศัพท์มือถือยอดนิยม>_<

โนเกีย ( Nokia) เป็นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเอสโป  ประเทศฟินแลนด์ ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 37 ในไตรมาสที่สองของปี 2550
เฮลซิงกิ
มีประวัติย้อนกลับไปกว่า 140 ปีเริ่มจากการเป็นบริษัทผลิตกระดาษ พัฒนาเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โนเกียมีส่วนสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของฟินแลนด์ โดยมีส่วนถึงราวหนึ่งในสามของmarket  capitalization ของตลาดหลักทรัพย์

ประวัติ


สำนักงานใหญ่โนเกีย
โนเกียไม่ได้เริ่มธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิคเป็นพื้นฐานอย่างแรกของบริษัท แต่ได้เปิดบันทึกหน้าแรกของประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้ผลิตเยื่อกระดาษ โดยมีวิศวกร Fredrik Idestam เป็นเจ้าของ
ย้อนเวลากลับไปยังปี ค.ศ. 1865 บริษัทโนเกียได้ก่อตั้งขึ้นบนริมฝั่งแม่น้ำ Nokia (โนเกีย) แม่น้ำสายใหญ่ในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย ป่าไม้ และทะเลสาบนับว่าเป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างมากในการทำธุรกิจ เยื่อกระดาษในย่านนี้ และกลายมาเป็นโรงงานผู้ผลิตเยื่อกระดาษรายใหญ่ที่เติบโต อย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ Idestam ยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอในการทำงานด้านธุรกิจ จึงจำเป็นต้องหยิบยืมเทคโนโลยีมาจากประเทศเยอรมันในปี 1866 แต่นั่นก็ช่วยทำให้เขาพัฒนาบริษัทขึ้น
ต่อมาในปี 1867 นวัตกรรมที่ Idestam คิดค้นขึ้นก็ได้ชนะรางวัลเหรียญทองแดง ในงาน Paris Wood Exposition ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นับแต่วันนั้นมา ชื่อของโนเกียได้กลายมาเป็นที่รู้จัก โนเกีย จึงได้ฉวยโอกาสนี้ประทับแบรนด์ของเขาบนผลิตภัณฑ์ทุกชนิด สร้างชื่อเสียงได้มากขึ้นจนกระทั่ง เครื่องผลิตกระดาษได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตเยื่อไม้ในปี 1880 และได้มา เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของโนเกีย จนเรียกได้ว่าร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์นั้น คือ กระดาษห่อสีน้ำตาล รวมไปถึงวอลเปเปอร์สี
ต่อมาในปี 1902 Idestam ได้ขยายธุรกิจจากโรงงานกระดาษมาสู่ธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจกระดาษที่ทำอยู่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างมาก จึงได้ตัดสินใจสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นเองในปี 1903 แต่แล้วในช่วงสงครวม โลกครั้งที่ 1 มรสุมใหญ่ก็ผ่านเข้ามา ธุรกิจส่งออกกระดาษของโนเกียได้ รับผลกระทบเป็นอย่างมากจนประสบภาวะาขาดทุนอย่างรุนแรง แต่ในขณะเดียวกัน นั่นเองธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะการใช้ พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมากในประเทศฟินแลนด์ ทำให้ช่วยพยุงกิจการด้านกระดาษ ที่ขาดทุนอย่างสูงไว้ได้ในระดับหนึ่ง
และในปี 1918 บริษัท Finnish Rubber Works (FRW) ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำผลิตภัณฑ์ยางในประเทศฟินแลนด์ และเป็นหนึ่งในลูกค้ารายสำคัญของโรงงานผลิตไฟฟ้าของโนเกียได้มาเป็นหุ้น ส่วนรายใหญ่ของโนเกียหลังจากที่โนเกียไม่สามารถรองรับการขาดทุนของ ธุรกิจได้ จนต้องตกไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท FRW แทน
จากนั้นใน ปี 1922 บริษัท Cable Works ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านสายเคเบิล และสายโทรศัพท์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Nokia group จากความสนใจของ บริษัท FRW แม้จะมีความหลากหลายของธุรกิจที่รวมเข้าด้วยกันแต่โนเกียก็ ยังคงผลิตสินค้าออกมาทั้ง 3 ประเภท คือกระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง (รองเท้ายาง ยาง รถยนต์) และสายเคเบิล โดยสินค้าทั้งหมดออกจำหน่ายในนามของโนเกีย
ยุคของอิเล็กทรอนิคกับโนเกียได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี 1977 ภายใต้การ ดูแลของ Kari Kairamo ประธานบริษัทซึ่งได้เรียนรู้ประสบการณ์จากการทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา แตกต่างจากรุ่นก่อน หน้านี้ที่จะมีหัวไปทางรัสเซียโดยผลิตสินค้าส่งออก คือ สายไปเคเบิล ให้กับ ประเทศรัสเซีย Kairamo นำแนวคิดแบบตะวันตก และแหวกแนวมาประยุกต์มุ่งเน้นให้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิคให้เข้ากับยุคแห่งพลังงานจนกลายมาเป็นธุรกิจหลักของโนเกียในยุคนี้เป็นต้นมา โดยผลิตโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ออกมาเบิกทางในตลาด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการติดอันดับผู้ผลิตโทรทัศน์รายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของยุโรปเลยทีเดียว
ก้าวมาสู่ยุคแห่งการสื่อสารไร้สายในการนำของรองประธานกรรมการอาวุโส และกรรมการบริหารการเงิน Jorma Ollila ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานตั้งแต่ปี 1992 - 1999 และ CEO ของโนเกียในปี 1999 จน ตราบถึงทุกวันนี้ ด้วยแนวคิดของ Ollila ภายใต้การดูแลของ Kairamo นั้น โนเกียกับโทรศัพท์มือถือจึงได้ถือกำเนิดขึ้น
โดยในยุคแรกนั้นจะ เป็น NMT Mobile Phone Standard (Nordic Mobile Telephony) หรือโทรศัพท์มือถืออนาล็อกรุ่นแรกนั่นเอง และได้รับความนิยมอย่างสูงเมื่อเผยโทรศัพท์ NMT รุ่นแรกในปี 1987 โดยมีสโลแกน "Connecting People" กับแนวคิดที่ต้องการเปิดอิสระและความ ต่อเนื่องในการติดต่อสื่อสาร จนกระทั่งกลายมาเป็นคำที่อยู่ในใจของผู้ รักโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันกันถ้วนหน้า
ไม่นานระบบเครือข่ายที่ดี ขึ้นก็เป็นที่ต้องการในสังคม โนเกียจึงพัฒนาเครือข่าย GSM ขึ้นเป็นครั้งแรกให้กับ Radiolinja บริษัทของฟินแลนด์ เมื่อปี 1989 ณ จุดนี้เองที่ Nokia 1011 บรรพบุรุษของบรรดาโทรศัพท์มือถือในยุค ปัจจุบันได้ออกมาสู่สายตาของทุกคนเป็นครั้งแรกในปี 1992 จากนั้นโนเกียก็ได้ยึดโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจหลักเป็นต้นมา
โนเกียไม่ได้ผลิต เพียงแค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น แต่ยังพัฒนาอุปกรณ์เสริมและเทคโนโลยี ต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กันในตัว แนวคิดแรกที่ถือว่าโนเกียเป็ยผู้บุกเบิกเลยก็คือ ความสามารถในการเปลี่ยนหน้ากากซึ่งได้กลายเป็นลูกเล่นหลักของโทรศัพท์มือถือจากโนเกียในเวลาต่อมา นอกจากนี้เทคโนโลยีการสนทนาอย่าง Push-to-Talk (PTT) กับโทรศัพท์มือถือก็มาจากโนเกียอีกเช่นกัน
ล่าสุดเมื่อวัน ที่ 19 มิถุนายน 2006 บริษัท Siemens AG ได้เข้ารวมกับโนเกียในการพัฒนา ธุรกิจเครือข่าย มุ่งหวังจะกลายเป็นบริษัทเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด โดยมีส่วนแบ่งเท่าเทียมกันที่ร้อยละ 50 และอยู่ในนามของ Nokia Siemens Networks
จนมาถึงปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนามากว่า20ปี  จนทำให้โนเกียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนูษย์จนบัดนี้ได้พัฒนามาจนถึงโทรศัพท์โนเกียรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีชื่อรุ่นว่า   Nokia Lumia 710