วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์




           ความสำคัญของการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์  เป็นสิ่งที่ตระหนักกันอย่างมากในปัจจุบัน  ด้วยเหตุว่าการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีประโยชน์หลายประการ  ดังนี้

            ความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูล  การจัดเก็บข้อมูลซึ่งอยู่ในรูปของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์สามารถจัดเก็บไว้ในแผ่นบันทึก ( diskette ) ที่มีความหนาแน่นสูงได้  แผ่นบันทึกแผ่นหนึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ล้านตัวอักษร  สำหรับการสื่อสารข้อมูลนั้น  ถ้าข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ได้ด้วยอัตรา  120  ตัวอักษรต่อวินาที  จะทำให้สามารถส่งข้อมูล 200  หน้า  ได้ในเวลาเพียง 40 นาที โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาป้อนข้อมูลเหล่านั้นซ้ำใหม่อีก

            ความถูกต้องของข้อมูล  โดยปกติมีการส่งข้อมูลด้วยสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งด้วยระบบดิจิทัล  วิธีการรับส่งนั้นจะมีการตรวจสอบข้อมูล  หากมีข้อมูลผิดพลาดก็จะมรการรับรู้และพยายามหาวิธีการแก้ไขให้ข้อมูลที่ได้รับมีความถูกต้อง  โดยอาจให้ทำการส่งใหม่หรือกรณีผิดพลาดไม่มาก  ผู้รับอาจใช้โปรแกรมของตนเองแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องได้
ความเร็วของการทำงาน  สัญญาณทางไฟฟ้าจะเดินทางด้วยความเร็วแสงทำให้การใช้คอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง หรือการค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่  สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว  ความรวดเร็วของระบบจะทำให้ผู้ใช้สะดวกสบายอย่างยิ่ง เช่น  บริษัทสายการบินทุกแห่งสามารถทราบข้อมูลของทุกเที่ยวบินได้อย่างรวดเร็ว  ทำให้การจองที่นั่งของสายการบินสามารถทำได้ทันที

            ประหยัดต้นทุนในการสื่อสารข้อมูล  การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กันเป็นเครือข่าย  เพื่อส่งหรือสำเนาข้อมูล  ทำให้ราคาต้นทุนของการใช้ข้อมูลไม่สูงนัก  เมื่อเทียบกับการจัดส่งแบบวิธีอื่น เช่น การใช้อีเมลส่งข้อมูลในรูแบบอิเล็กทรอนิกส์  การใช้งานโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
สามารถเก็บข้อมูลเป็นศูนย์กลาง  กล่าวคือ  สามารถมีข้อมูลเพียงชุดเดียวในระบบเครือข่ายซึ่งถือเป็นข้อมูลส่วนกลาง  โดยที่แต่ละแผนกในบริษัทสามารถดึงไปใช้ได้จากที่เดียวกัน  ไม่ต้องเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อน  กระจัดกระจายกันไปในคอมพิวเตอร์ทุกแผนก  ซึ่งจะมีประโยชน์มากในกรณีที่ข้อมูลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลจากส่วนการได้ทันที

            การใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกันได้    ในระบบเครือข่ายนั้น  จะทำให้สามารถใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกันได้  โดยที่อุปกรณ์ตัวนั้น  อาจต่ออยู่กับตัวเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่าย  แต่สามารถให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายใช้อุปกณ์ตัวนั้นได้โดยตรง  ทำให้สามารถถลดค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในระบบ  เช่น  สวามารถให้เครื่องพิมพ์ตัวเดียว  ซึ่งต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งในเครือข่ายรับคำสั่งในการพิมพ์งานจากทุกๆเครื่องในเครือข่ายได้ทันที เป็นต้น
การทำงานแบบกลุ่ม  สามารถใช้ประโยชน์ของระบบเครือข่ายในการทำงานในแผนกหรือกลุ่มงานเดียวกันได้เป็นอย่างดี เช่น  สามารถร่วมแก้ไขเอกสารตัวเดียวกันตามแผนงาน  กล่าวคือในระบบงานเอกสารชนิดหนึ่งอาจจะต้องผ่านการแก้ไขหลายขั้นตอน  ซึ่งจะให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องทำงานในขั้นตอนของตัวเองก่อนจะส่งไฟล์ข้อมูลของเอกสารนั้นไปให้เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่ายทำขั้นตอนต่อไป  เป็นต้น







ที่มา: หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  ๒

เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์




              เทคโนโลยีในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 2  ประเภทหลัก ได้แก่เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบใช้สาย และเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย  ดังนี้

              เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบใช้สาย
แบ่งออกตามชนิดของสายสื่อสารได้ 3 ชนิด ดังนี้
สายตีเกลียวคู่ (twisted  pair  cable ) ประกอบด้วยเส้นลวดทองแดง 2 เส้น ที่หุ้มด้วนฉนวนพลาสติก พันบิดกันเป็นเกลียว  เพื่อลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียวกัน หรือจากภายนอก  โดยทั่วไปใช้สำหรับการส่งข้อมูลแบบดิจิทัล  สามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึง 100 เมกะบิตต่อนาที  ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร  เนื่องจากมีราคาแพงไม่แพงมาก  ใช้ส่งข้อมูลได้ดีจึงมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง สายตีเกลียวคู่มี 2 ชนิด  ดังนี้

                สายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวนหรือชนิดไม่หุ้มฉนวน ( Un-shielded  Twisted  Pair : UTP  ) เป็นสายตีเกลียวคู่ที่ไม่มีฉนวนชั้นนอก  ทำให้สะดวกในการโค้งงอ  แต่สามารถป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าสายตีเกลียวคู่ชนิดหุ้มฉนวน ( STP )
สายตีเกลียวคู่แบบป้องกันสัญญาณรบกวนหรือชนิดหุ้มฉนวน ( Shielded  Twisted  Pair : STP )  เป็นสายตีเกลียวคู่ที่ชั้นนอกหุ้มด้วยลวดถักที่หนา เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  รองรับความถี่ของการส่งข้อมูลได้สูงกว่าสายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน  แต่มีราคาแพงกว่า



สายโคแอกซ์ ( coaxial  cable ) มีลักษณะเช่นเดียวกับสายที่ต่อมาจากเสาอากาศประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็นแกนหลักหุ้มด้วยฉนวนชั้นหนึ่ง  เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว  จากนั้นจะหุ้มด้วยตัวนำซึ่งทำจากลวดทองแดงถักเป็นเปียเพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ    สายโคแอกซ์ที่ใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด  คือ 50 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณดิจิทัล  และชนิด 70 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณอะนาล็อก



                 สายใยแก้วนำแสง  ( fiber  optic  cable  ) หรือเส้นใยแก้วนำแสง กนกลางของสายประกอบกด้วยเส้นใยแก้วหรือเส้นพลาสติกขนาดเล็กภายในกลวง  หลายๆเส้น อยู่รวมกัน เส้นใยแต่ละเส้นมีขนาดเล็กประมาณเส้นผมของมนุษย์  เส้นใยแต่ละเส้นห่อหุ้มด้วยเส้นใยอีกชนิดหนึ่งก่อนจะหุ้มชั้นนอกสุดด้วยฉนวน การส่งข้อมูลผ่านทางสื่อกลางชนิดนี้จะแตกต่างจากชนิดอื่นๆ ซึ่งจะใช้เลเซอร์วิ่งผ่านช่องกลวงของเส้นใยแต่ละเส้น และอาศัยหลักการหักเหของแสง  โดยใช้เส้นใยชั้นนอกเป็นกระจกสะท้อนแสง  สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลที่สูงมาก และไม่มีการก่อกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ทำให้สามารถส่งข้อมูลทั้งตัวอักษร  ภาพ  กราฟิก  เสียง หรือวีดิทัศน์ในเวลาเดียวกัน แต่ยังมีข้อเสียเนื่องจากการบิดงอของงสายสัญญาณจะทำให้เส้นใยหัก  จึงไม่สามารถใช้สื่อกลางนี้เดินทางตามมุมตึกได้ 




                  เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย
                เทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย  อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อกลางนำสัญญาณวึ่งสามารถแบ่งตามช่วงความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้  4  ชนิด ดังนี้
อินฟราเรด ( infraed ) เป็นลักษณะของคลื่นที่ใช้ในการส่งข้อมูลระยะใกล้ๆ ในช่วงความถี่ที่แคบมาก ใช้ช่องทางสื่อสารน้อย  มักใช้กับการสื่อสารข้อมูลที่ไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่งกับตัวรับสัญญาณ

                คลื่นวิทยุ  ( redio  frequency ) ใช้สัญญาณไปในอากาศ  โดยมีตัวกระจายสัญญาณส่งไปยังตัวรับสัญญาณ และใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ต่างๆกัน มีความเร็วต่ำ ประมาณ 2 เมกกะบิตต่อนาที  เช่น การสื่อสารในระบบวิทยุเอฟเอ็ม ( Frequency  Modulation : FM  ) เอเอ็ม ( Ampliutude  Modulation : AM  ) การสื่อสารโดยใช้ระบบไร้สาย ( Wi-Fi ) และบลูทูล

                ไมโครเวฟ ( microwave )  จะใช้การส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปในอากาศพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง  และต้องมีสถานีที่ทำหน้าที่ส่งและรับข้อมูล  ไมโครเวฟจะเดินทางเป็นเส้นตรงไม่สามารถโค้งตามขอบโลกได้ จึงต้องมีการตั้งสถานีรับ-ส่งข้อมูลเป็นระยะๆและส่งข้อมูลต่อกันเป็นทอดๆระหว่างสถานีต่อสถานี จนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง

                 ดาวเทียม ( satellite ) เป็นสถานีรับส่งสัญญาณไมโครเวฟบนท้องฟ้า ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับ-ส่ง ไมโครเวฟบนผิวโลก  เพื่อใช้เป็นสถานีรับ-ส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ  และทวนสัญญาณในแนวโคจรอยู่สูงจากพื้นโลกประมาณประมาณ  35,600 ไมล์  โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก   การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณจากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆบนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยำ


ที่มา: หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  ๒
         https://encrypted-tbn0.google.com/images?q=tbn:ANd9GcTCQfDkNTfV6S5rDz1_QjAsAt8n1CtgjEvNr7llHBJ50lJ0dxO5VQ

โพรโทคอลและอุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์





        โพรโทคอล

             โพรโทคอล (Protocol ) คือ ข้อตกลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับวิธีที่คอมพิวเตอร์จะจัดรูปแบบและตอบรับข้อมูลระหว่างการสื่อสาร    ซึ่งโพรโทคอลจะมีหลายมาตราฐานและในแต่ละโพรโทคอลจะมีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป
             การสื่อสารข้อมูลผ่านทางเครือข่ายนั้น  จำเป็นต้องมีโพรโทคอลที่ป็นข้อกำหนดตกลงในการสื่อสารขึ้น  เพื่อช่วยให้ระบบสองระบบที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้
             ในปัจจุบันการทำงานของเครือข่ายใช้มาตรฐานโพรโทคอลต่างๆ ร่วมกันทำงานมากมาย นอกจากโพรโทคอลระดับประยุกต์แล้ว  การดำเนินการภายในเครือข่ายยังมีโพรโทคอลย่อยที่ช่วยทำให้การทำงานของเครือข่ายมีประสิทธิภาพขึ้น  ซึ่งโพรทคอลที่ใช้ในการสื่อสารในปัจจุบันมีหลายประเภท  ตัวอย่างเช่น   โทคอลเอชทีทีพี ( Hyper  Text  Protocol : HTTP ) เป็นโพรโทคอลหลักในการใช้งานเวิลด์ไวด์เว็บ  โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นช่องทางสำหรับเผยแพร่และแลกเปลี่ยนภาษาเอชทีเอ็มแอล ( Hyper  Text   Markup  Language : HTML) ใช้ร้องขอหรือตอบกลับระหว่างเครื่องลูกข่าย  ที่ใช้โปรแกรมค้นดูเว็บกับแม่ข่าย ( web  server )  โดยทำงานอยู้บนโพรโทคอลทีซีพี ( Transfer  Control  Protocol : TCP )
              โพรโทคอลทีซีพี/อพี  ( Transfer  Control  Protocol / Internet  Protocol  : TCP/IP)      เป็นโพรโทคอลใช้ในการสื่อสารในระบบอินเทอร์เน็ต  โดยมีการระบุผู้รับ  รับส่งในเครือข่าย และแบ่งข้อมูลออกเป็นแพ็กเก็ตส่งผ่านไปทางอินเทอร์เน็ต  ซึ่งหากการส่งข้อมูลเกิดความผิดพลาดจะมรการร้องขอให้ส่งข้อมูลใหม่
              โพรโทคอลเอสเอ็มทีพี (Simple Mail  protocol : SMTP  )   คือ  โพรโทคอลสำหรับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์  ( electronic  mail )  หรืออีเมล ( E-mail )ไปยังจุดหมายปลายทาง
               บลูทูท (bluetooth )  เป็นโพรโทคอลที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.4  GHz ในการรับส่งข้อมูล คล้ายกับระบบแลนไร้สาย  เพื่อให้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ต่อพ่วงไร้สาย  เช่น  เครื่องพิมพ์  เมาส์  คีย์บอร์ด  โทรศัพท์เคลื่อนที่  หูฟัง  เป็นต้น เข้าด้วยกันได้

  อุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
             อุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีดังนี้
เครื่องทวนสัญญาณ (repeater  ) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับสัญญาณดิจิทัล  แล้วส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตัวอื่น  เมื่อระยะทางมากขึ้นแรงดันของสัญญาณจะลดลงเรื่อยๆ  ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณในระยะทางไกลๆได้  ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณจะทำให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลขึ้น  โดยสัญญาณไม่สูญหาย
ฮับ (hub )  เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่ง  หรือเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ  เครื่องเข้าด้วยกัน  สัญญาณที่ส่งมาจากฮับจะกระจายไปยังทุกเครื่องที่ต่ออยู่กับฮับ  ซึ่งแต่ละเครื่องจะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเองเท่านั้น
บริดจ์ ( bridge ) ใช้ในการเชื่อมต่อหลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน  โดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่ใช้โพรโทคอลตัวเดียวกัน  ซึ่งมีความสามารถมากกว่าฮับและอุปกรณ์ทวนสัญญาณทำให้การรับข้อมูลจากปลายทางสามารถจัดการกับความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
             อุปกรณ์จัดเส้นทาง (  router  ) สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับบริดจ์  แต่จะมีความสามารถมากกว่า  ตรงที่สามารถหาเส้นทางในการส่งกลุ่มข้อมูล( data  packet ) ไปยังเครื่องปลายทางในระยะทางที่สั้นที่สุดได้
สวิตช์ ( switch ) นำความสามารถของฮับกับบริดจ์มารวมกัน  สวิตช์จะทำหน้าที่รับกลุ่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องใด  แล้วนำข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์เป้าหมาย  ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการชนกันหรือความคับคั่งของข้อมูล
              เกตเวย์ ( gateway )  เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกันไม่ว่าเครือข่ายนั้นจะใช้โพรโทคอลตัวใดก็ตาม  เนื่องจากเกตเวย์สามารถแปลงรูปแบบแพ็กเก็ตของโพรโทคอลหนึ่งไปเป็นรูปแบบของอีกโพรโทคอลหนึ่งได้  แต่ในปัจจุบันนี้ได้รวมการทำงานของเกตเวย์ไว้ในอุปกรณ์จัดเส้นทาง ( router  ) แล้วทำให้อุปกรณ์จัดเส้นทางสามารถทำงานเป็นเกตเวย์  ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องซื้อเกตเวย์อีก




ที่มา: หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  ๒





ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์



              เครือข่ายคอมพิวเตอร์  ( computer  network  )   เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกัน  เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้  เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งออกตามสภาพ การเชื่อมโยงได้เป็น   4  ชนิด  ดังนี้


           
     เครือข่ายส่วนบุคคล
เครือข่ายส่วนบุคคล ( Personal  Area  Network : PAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล  ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายในระยะใกล้  เช่น  การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ  การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพีดีเอ  เป็นต้



                เครือข่ายเฉพาะที่
เครือข่ายเฉพาะที่  หรือ แลน  ( Local  Area  Network:LAN  )   เป็นเครือข่ายขนาดเล็กซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในท้องที่บริเวณเดียวกันเข้าด้วยกัน เช่น  ภายในอาคารหรือภายในองค์การที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เป็นต้น  โดยคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะต่อเข้ากับอุปกรณ์เครือข่าย  เช่น ฮับ  สวิตช์  เป็นต้น   การสร้างเครือข่ายแลนนี้แต่ละองค์กร  สามารถดำเนินการเองได้โดยการวางสายสัญญาณสื่อสารภายในอาคารหรือภายในพื้นที่ของตนเอง เครือข่ายแลนมีตั้งแต่เครือข่ายขนาดเล็กที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปภายในห้องเดียวกัน จนถึงเชื่อมโยงระหว่างห้องหรือองค์การขนาดใหญ่


               
 เครือข่ายนครหลวง
เครือข่ายนครหลวง หรือแมน (Metropolitan  Area  Network : MAN )  เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงแลนที่อยู่ห่างกัน  เช่น  ระหว่างสำนักงานที่อยู่คนละอาคาร  ระบบเคเบิลทีวีตามบ้านในปัจจุบัน  เป็นต้น  โดยมีลักษณะการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีระยะห่างไกลกันในช่วง 5-40 กิโลเมตร  ผ่านสายสื่อสารประเภทสายใยแก้วนำแสง  สายโคแอกเชียล หรืออาจใช้คลื่นไมโครเวฟ


               
 เครือข่ายวงกว้าง
เครือข่ายวงกว้าง  หรือแวน ( Wide  Area  Network : WAN )  เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะห่างไกล  มีการติดต่อสื่อสารกันในบริวณกว้าง เช่น  เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด  ระหว่างประเทศ  เป็นต้น






ที่มา: หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  ๒

การสื่อสารข้อมูล



ความหมาย


         การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
พัฒนาการ
   พัฒนาการของการสื่อสาร

หากจะพูดว่าการสื่อสารข้อมูลเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับมนุษย์คงจะไม่ผิดทั้งนี้เป็นเพราะว่าการสื่อสารข้อมูลนั้นทำให้มนุษย์สามารถสื่อความคิด เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตและมีพัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
                การติดต่อข่าวสารกันของมนุษย์ในสมัยโบราณมีวิธีการที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เช่น การใช้ม้าเร็ว นกพิราบสื่อสาร แต่เมื่อมนุษย์มีการพัฒนาความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตอย่างไม่หยุดนิ่ง เครื่องมือและอุปกรณ์ในการสื่อสารก็ได้รับการพัฒนาให้ทันสมัย ก้าวหน้าควบคู่กันมาทั้งนี้เพื่อความสะดวกสบายในการสื่อสาร จากการที่ใช้ม้าเร็ว นกพิราบสื่อสาร ก็เปลี่ยนมาเป็นจดหมาย หรือพัสดุภัณฑ์อื่น มีโทรเลข มีโทรศัพท์ มีวิทยุ โทรทัศน์ดาวเทียมสื่อสารที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารให้ได้ยินทั้งเสียงและได้เห็นทั้งภาพเหล่านี้ล้วนเป็นพัฒนาการด้านความคิดของมนุษย์ที่คิดค้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการข่าวสารข้อมูลของมนุษย์ด้วยกันเอง
จะว่าไปแล้ว มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม จึงย่อมต้องติดต่อสื่อสารกัน มนุษย์ที่อยู่อาศัยในดินแดนพื้นที่ที่ห่างไกลกัน ถึงขั้นเป็น เมือง เป็นรัฐอันอิสระ ต่างก็ต้องมีวิธีส่งข่าวสารถึงกันทั้งสิ้น

การติดต่อข่าวสารกันของมนุษย์ในสมัยโบราณมีวิธีการต่างๆ ดังนี้
ม้าเร็ว
ผู้ส่งสารในระบบ "ม้าเร็ว" นี้ ก็นับว่าดีทีเดียว คือไม่ล่าช้า ทั้งยังส่งข่าวได้ทันใจ ซึ่ง ชาวจีนโบราณมีการพัฒนาระบบการส่งข่าวทางไกลให้ คล่องตัวตลอดมา โดยระบบเฟื่องสุดขีดในช่วงที่มองโกลมาจัดการ (จริงๆ แล้วมีการพัฒนากันมานานก่อนหน้านั้นเป็น 100 ปีทีเดียว)
               
นกพิราบสื่อสาร
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ การสื่อสารระหว่างทหารที่ออกรบในสมรภูมิกับศูนย์บัญชาการ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก ถ้าจะใช้ทหารเดินเท้าในการส่งข่าว ไหนจะต้องหลบหลีกให้พ้นสายตาข้าศึก และต้อง เผชิญอุปสรรคนานัปการ ทั้งภูมิอากาศและภูมิประเทศที่กันดาร นกพิราบสื่อสาร จึงถูกนำมาใช้ในการส่งข่าวสารจากสมรภูมิกลับสู่บ้านเกิด ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการ

เคอร์ซัส พับลิคัส
ส่วนทางโรมันก็มีระบบที่ละเอียดซับซ้อนในการติดต่อส่งข่าวสารเช่นเดียวกัน ซึ่งเรียกเป็นภาษา โรมัน ว่า เคอร์ซัส พับลิคัส ระบบของโรมันนี้นับว่าฉลาดไม่น้อย คือใช้แบบส่งเป็นทอด หรือวิ่งผลัด ซึ่งทำให้ การส่งข่าวสารผ่านตลอดทั่วแดนได้โดยง่าย มีความสะดวก คล่องตัวขึ้น รวมทั้งมีการตรวจ ตราอย่างเข้มงวด มีเครือข่ายโยงใยในระบบตรวจสอบของรัฐ ซึ่งจะการันตีเรื่องความแม่นยำ และ ความน่าเชื่อถือในเรื่องของหลวงได้ดีด้วย แม้ตอนที่อาณาจักรโรมันแตก ระบบเคอร์ซัส พับลิคัส นี้ยัง ยืนหยัดใช้กันอยู่พอสมควร

ระบบไปรษณีย์
ครั้นถึงยุคกลางของยุโรป ก็มีวิธีการอื่นขึ้นมา ซึ่งเกิดจากการค้าขายที่เฟื่องฟู โดยเฉพาะในอิตาลี ติดต่อส่งสินค้าการพาณิชย์ กันในเมืองใหญ่ๆ เช่น จากเวนิส ถึง คอนสแตนติโนเปิลฯ ต่อมามีความเจริญก้าวหน้าของระบบการศึกษา ตลอดจนระบบการพิมพ์ก็มีการพัฒนาเพิ่มยิ่งขึ้น รัฐบาลของประเทศต่างๆ จึงเห็นความสำคัญของการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ และข้ามทวีป เมื่อมี การเขียนจดหมายมากขึ้น และมีความต้องการสื่อสารอย่างเร่งรีบขึ้น จึงมีกลุ่มบุคคลที่เล็งเห็นความ สำคัญของการทำ




         www.chakkham.ac.th/technology/network/datacommu.html

เทคโนโลยีสื่อสารในยุคต่างๆ




       ยุค  1G  เป็นยุคที่ใช้สัญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น  สามารถใช้งานทางด้านเสียงได้อย่างเดียว คือ สามารถโทรออก - รับสายเท่านั้น ถือเป็นยุคแรกของการพัฒนาระบบโทรศัพท์มือถือแบบเซลลูลาร์ โดยใช้วิธีการปรับสัญสณแอนาล็อกเข้าช่องสื่อสาร ซึ่งแบ่งความถี่ออกเป็นช่องเล็กๆ ด้วยวิธีการนี้จึงมีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนช่องสัญญาณและการใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เกิดการติดขัดเรื่องการขยายจำนวนเลขหมายและการขยายแถบความถี่ ซึ่งโทรศัพท์แบบเซลลูลาร์ยังมีขนาดใหญ่ และใช้กำลังไฟฟ้ามาก









       ยุค  2G  เป็นยุคที่เปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบอะนาล็อกมาเป็นการใช้สัญาณดิจิทัล โดยส่งผ่านทางคลื่นไมโครเวฟ ทำให้สามารถใช้งานทางด้านข้อมูลได้นอกเหนือจากการใช้งานทางเสียงเพียงอย่างเดียวโดยสามารถรับส่งข้อมูลต่างๆ และเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพจนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐานหรือที่เรียกว่า เซลล์ไซ (cell site) และก่อให้เกิด GSM  (Global System for Mobile Communication)  ซึ่งสามารถทำให้ถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปได้ทั่วโลก หรือเรียกว่า  บรการข้ามเครือข่าย ( roaming)



          ยุค 3G ใช้บริการมัลติมีเดีย และส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร้วที่สูงขึ้น มีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุด 2 เมกกะบิดต่อวินาที หรือเร้วกว่าเครือข่าย EDGE ที่ใช้ในปัจจุบันเกือบ 10 เท่า มีช่องสัญญาณความถี่ ความจุในการรับส่งข้อมุลที่มากกว่า เข้าถึงอินเทอร์เน้ตความเร้วสูงได้สะดวกยิ่งขึ้น สามารถใช้การสนทนาแบบเห็นหน้า (video telephony) และการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอ (video conference) ช่วยให้สามารถสื่อสารได้พร้อมกันทั้งภาพและเสียง รับชมโทรทัศน์หรือวิดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งมีสัญญาณภาพที่คมชัด และสามารถบริการข้ามเครือข่าย (roaming) ได้เช่นเดียวกับ GSM





            ยุค 4G เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ มีความเร้วในการสื่อสารได้ถึงระดับ 20-40 เมกกะบิดต่อวินาที สามารถเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three - dimensional : 3D) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเองโดยให้บริการมัลติมิเดียในลักษณะที่สามารถโต้ตอบได้ เช่น อินเทอร์เน็ตไร้สาย เทเลคอนเฟอเรนซ์   เป็นต้น




ที่มา: หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  ๒
        https://encrypted-tbn0.google.com/images?q=tbn:ANd9GcT9EjJRbOk9-BT78XL7su-NlQ3gXkfEjjSgnF72cL9WSQmF9Jk3
       https://encrypted-tbn1.google.com/images?q=tbn:ANd9GcSVsY0JHtVJWVEp4dmPut6Xw4vc5gsWf48r8JscnUNOG8Uc6xBP_g 
       https://encrypted-tbn1.google.com/images?q=tbn:ANd9GcRnJbMUZgpRmLOXqxyAUdEMDau4TPEARr1Ddy_yx92tCEx-AFxp
       

บรอดแบรนด์

บรอดแบรนด์

         บรอดแบรนด์  คือ  ระบบการสื่อสารที่มีความเร็วสูง รับปริมาณการสื่อสารได้มากมายหลายช่องสัญญาณ
ซึ่งปัจจุบันระบบบรอดแบรนด์ในประเทศไทยได้เข้ามาสู่ผู้ใช้ตามบ้านแล้ว ด้วยบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Asymmetric Digital Subscripber : ADSL)  ซึ่งทำให้การใช้บริการอินเตอร์เน็ตมีความเร็วสูงสุดมากกว่า 2.0 เมกะบิตต่อวินาที แต่ในทางธุรกิจโทรคมนาคม คำว่าบรอดแบรนด์อาจหมายถึง ระดับความเร็วที่มากกว่าหรือเท่ากับ 256 กิโลบิตต่อวินาที ดังนั้นจึงถือว่าระดับความเร็ว 256 กิโลบิตต่อวินาที เป็นระดับความเร็วขั้นต่ำสุดของบรอดแบรนด์













ที่มา: หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  ๒